วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย

Your Vote Rating 9.1 from 47 users
จำนวนผู้เข้าชม 82127 ครั้ง
See All Comments







Dino-Lite กล้องจุลทรรศน์พกพา รางวัลยอดเยี่ยมโลก



แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย



ลูกชิ้นปลากราย

เนื้อปลากรายขูด 4 ถ้วยตวง
รากผักชีซอยละเอียด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอยละเอียด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเม็ด 24 เม็ด
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ


หัวกะทิ

1 3/4 ถ้วยตวง
มะพร้าวขูด 15 3/4 ถ้วยตวง


หางกะทิ

5 1/2 ถ้วยตวง
มะพร้าวที่เหลือจากหัวกะทิ
น้ำ 6 ถ้วยตวง


ส่วนผสมพริกแกง

พริกขี้หนูสีเขียว 20 เม็ด
พริกสดสีเขียว (พริกชี้ฟ้า) 7 เม็ด
กระเทียมซอย 2 3/4 ช้อนโต๊ะ (24 กลีบ)
หอมแดงซอย 2/34 ช้อนโต๊ะ (6 หัว)
ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ
ข่าหั่นละเอียด 1 3/4 ช้อนชา
กระชายปอกเปลือกหั่น 2 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
ลูกผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
ยี่หร่า 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 3/4 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเม็ด 30 เม็ด
รากผักชีซอยละเอียด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
พริกเหลือง 2 เม็ด


ผัก

มะเขือเปราะ (ผ่า 8 ส่วน) 8 ลูก
(Ø 3 เซนติเมตร ต่อ 1 ลูก)
มะเขือพวง 1 ถ้วยตวง + 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
(117 ลูกขนาด Ø 1 เซนติเมตรต่อ 1 ลูก)
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 1/3 ถ้วยตวง
(6 เม็ด 42 ชิ้น)
กระชายซอยเป็นเส้นยาวๆ 1 1/2 ถ้วยตวง
ใบมะกรูดฉีก (ใบอ่อน) 10 ใบ
โหระพาเด็ดเป็นใบๆ 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำพริกแกง

1.ลูกผักชีคั่วให้หอม ยี่หร่าคั่วให้หอม ป่นละเอียด แยกพักไว้

2. โขลกพริกไทยให้ละเอียดใส่รากผักชี ข่า ผิวมะกรูด ตะไคร้โขลกละเอียด ใส่พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกเหลือง เกลือป่น โขลกรวมกันให้ละเอียด ตามด้วยกระชาย หอม กระเทียม กะปิ โขลกรวมกันทั้งหมดจนละเอียด ใส่ลูกผักชี ยี่หร่าที่เตรียมไว้ผสมลงไปในน้ำพริกแกงทั้งหมดโขลกให้เข้ากัน


วิธีทำลูกชิ้นปลากราย

1.เนื้อปลากราย (ควรเป็นปลาที่สดเนื้อปลาสีชมพู ลูกชิ้นจึงจะเหนียว) ขูดเลือกก้างออกให้หมดแช่ในอ่างน้ำแข็งเพื่อให้สด

2.โขลกพริกไทย รากผักชี กระเทียมให้ละเอียด ผสมกับเนื้อปลานวดให้เข้ากัน

3.ละลายเกลือกับน้ำ ค่อยๆ นวดปลาในอ่างให้เหนียวผสมกับน้ำเกลือทีละน้อยจนหมดขณะที่นวดปลาให้เป็นเนื้อเดียวกัน
ต้องแช่ปลาในอ่างที่มีน้ำแข็งอยู่ด้วยอีกชั้นเพื่อทำให้ปลาสดและมีความเหนียวสลับกับ
การนวดปลาไปเรื่อยๆ จนกว่าเนื้อปลาจะเหนียว และสีของเนื้อปลาจะเป็นเงาใสแสดงว่าได้ที่แล้ว ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

4.ใช้ ช้อนตักเนื้อปลาให้เป็นลูกกลมแบนแตะน้ำเปล่าเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ติดมือ ต้มในน้ำเดือด (ถ้าต้องการให้เนื้อปลาเป็นสีขาว ควรใส่น้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย) เมื่อลูกชิ้นปลายลอยขึ้นแสดงว่าสุกแล้ว ตักขึ้นใส่น้ำเย็น


วิธีทำแกงเขียวหวาน

1.คั้น มะพร้าวเป็น 2 ส่วน หัวกะทิและหางกะทิ หัวกะทิคั้นไม่ใส่น้ำ หางกะทิใช้มะพร้าวที่เหลือจากหัวกะทิ ใส่น้ำครั้งละ 2 ถ้วยตวง คั้นหางกะทิ 3 ครั้ง คั้นทีละน้อยเพื่อให้ได้หางกะทิที่มีนและเข้มข้น นำหัวกะทิไปเคี่ยวให้แตกมัน หางกะทิตั้งไฟให้เดือด เพื่อคงความสด และไม่เหม็นหืน ขณะที่รอเตรียมเครื่องปรุงอื่นอยู่ เพื่อพร้อมที่จะแกงได้ทันที

2.นำหัวกะทิที่เคี่ยวแตกมันแล้วใส่กะทะ ประมาณ 2 ทัพพี

3.นำ พริกแกงที่โขลกไว้มาผัดกับหัวกะทิที่เคี่ยวแตกมันแล้ว ใช้ไฟอ่อน ผัดจนหอมเติมหัวกะทิไปเรื่อยๆ จนหมดคนให้ทั่วอย่าให้ไหม้จนมันลอยขึ้นมา (หรือที่เรียกว่า แตกมัน) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

4. นำลูกชิ้นที่ต้มแล้วมาผัดกับน้ำพริกแกง ใส่กระชายซอยผัดให้ทั่ว

5. เทใส่ในหม้อหางกะทิที่เดือดแล้ว ตั้งให้เดือดอีกครั้ง

6. ใส่มะเขือพวง พอใกล้สุกจึงใส่มะเขือเปราะ ใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า

7. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊ป น้ำปลา ให้เดือดอีกครั้งปิดไฟ ใส่ใบโหระพา แล้วจึงยกลง


หมายเหตุ

มะเขือพวงจะสุกช้ากว่ามะเขือเปราะจึงต้องใส่มะเขือพวงก่อนมะเขือเปราะ
สรรพคุณทางยา

1. กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหารแก้โรคทางผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด

2. กระชาย รสเผ็ดร้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้บิดมีตัว ขับพยาธิตัวกลมและพยาธิเส้นด้ายในเด็กใช้แต่งกลิ่นสีรสอาหารที่มีคุณค่าทาง อาหารสูง ไม่มีพิษ

3. โหระพา ใบรสเผ็ดปร่าหอม แก้ท้องขึ้น อืดเฟ้อ แก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้ ขับเสมหะ

4. ใบและผิวมะกรูด รสปร่า กลิ่นหอมติดร้อน ใช้ปรุงอาหาร ช่วยดับกลิ่นคาว แก้โรคลักปิดลักเปิด ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด

5. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด

6. ข่า รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด

7. ตะไคร้ทั้งต้น แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ

8. ยี่หร่า ใช้แต่งกลิ่นอาหารให้หอม ช่วยขับลม

9. พริกไทย รสเผ็ดร้อน ขับลม ขับเหงื่อ ช่วยเจริญอาหาร

10. รากและต้นผักชี ช่วยละลายเสมหะ แก้หัด ขับเหงื่อ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เจริญอาหาร

11. มะเขือพวง รสขมเฝื่อนเปรี้ยวเล็กน้อย แก้ไอ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ

12. มะเขือเปราะ รสขมเล็กน้อย กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้

13. มะพร้าวขูด รสมันหวาน บำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูก

14. พริกชี้ฟ้า รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลม



ประโยชน์ทางอาหาร

แกง เขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เป็นแกงที่ได้รับการประยุกต์ต่อๆ กันมาเป็นอาหารที่มีรสชาติกลมกล่อมมันหวานเหมาะสำหรับคนธาตุดินรับประทานดี ยิ่งนัก
คุณค่าทางโภชนาการ

แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 4308 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย

- น้ำ 77.6 กรัม

- โปรตีน 200.9 กรัม

- ไขมัน 6.8 กรัม

- คาร์โบไฮเดรต 7.6 กรัม

- กาก 92.9 กรัม

- ใยอาหาร 2.9 กรัม

- แคลเซียม 1106.31 มิลลิกรัม

- ฟอสฟอรัส 2718.5 มิลลิกรัม

- เหล็ก 116.4 มิลลิกรัม

- เรตินอล 2.64 ไมโครกรัม

- เบต้าแคโรทีน 746 ไมโครกรัม

- วิตามินเอ 13,645.4 IU

- วิตามินบีหนึ่ง 166.34 กรัม

- วิตามินบีสอง 1.91 มิลลิกรัม

- ไนอาซิน 3.91 มิลลิกรัม

- วิตามินซี 8.16 มิลลิกรัม

ไม้มงคล

๒. ไม้ขนุน หมายถึง หนุนให้ดีขึ้นร่ำรวยขึ้น ทำอะไรจะมีผู้ให้การเกื้อหนุน

ข้อมูลทางวิชาการ
ไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล
นิเวศวิทยา
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียเป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนที่ให้ผลมีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ออกดอก
จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคมขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่ง

ประโยชน์ ผลอ่อน ใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร เนื้อไม้ ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด รากและแก่น ให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ ใบ เผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล


กระเจี๊ยบมอญ (Okra)
Abelmoschus esculentus ( L.) Moench
MALVACEAE


ชื่ออื่น กระเจี๊ยบ มะเขือควาย มะเขือมอญ
(กลาง) มะเขือพม่า มะเขือมื่น มะเขือมอญ
มะเขือละโว้ (เหนือ)


ลักษณะทั่วไป
ไม้ล้มลุกสูง 1-2 เมตร ลำต้นและใบมีขนหยาบลำต้นมีสีเขียว
กลม เส้นผ่าศูนย์กล่างเฉลี่ย 1-3 เซนติเมตร ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปมือ เป็นแฉก
ลึกกว้าง 7 - 26 เซนติเมตร ยาว 10-30 เซนติเมตร ดอก ออกตามซอกใบ กลีบ
ดอกสีเหลือง โคนกลีบด้านในสีม่วงแดง ก้านชู อับเติดกันเป็นหลอด เป็นพืช
ผสมตัวเอง มีทั้งเกษรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ผล เป็นผล
แคปซูล มีรูปร่างเรียวยาวเป็นเหลี่ยม 5 เหลี่ยม ผลตั้งชูขึ้นมีสีเขียวอ่อน หรือ
เขียวแก่ ขึ้นอยู่กับพันธุ์ เมล็ด สีดำ จำนวน 200 เมล็ด หนักประมาณ 10 กรัม->>


ประโยชน์ และความสำคัญทางอาหาร

ผลอ่อน ลวกนึ่งหรือเผาไฟ รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกหรือนำผลอ่อนมาแกงส้ม
เครื่องปรุง น้ำพริกแกงส้มมีดังนี้ พริก เกลือ ตะไคร้ ขมิ้น กระเทียม หอม กะปิ
โขลกเครื่องปรุงน้ำพริกให้เข้ากัน ผัดน้ำพริกกับน้ำมันและเนื้อปลาให้สุกและหอม
ตักเอาปลาออก และเติมน้ำทิ้งไว้จนกระทั่งเดือด ใส่กระเจี๊ยบมอญจนกระทั่งสุก
เติมน้ำมะหนาวให้ออกเปรี้ยว ใส่ปลา คนสักครู่ ปรุงรสตามใจชอบ

ผัดกะเพรา

สูตรอาหารไทย : ผัดกะเพราไก่

[ FRIED CHICKEN WITH BASIL LEAVES ]

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

ผัดกะเพราไก่+ไข่ดาว

* เนื้อไก่ 450 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีำคำ)

* กระเทียม 5 กลีบ (สับให้ละเอียด)

* หัวหอมใหญ่ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นเป็นชิ้นบางๆ)

* น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

* ซิอิ๊วดำ 2 ช้อนชา

* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

* ใบกะเพรา 1 ถ้วยตวง

* พริก 7 เม็ด (ทุบพอแหลกและสับหยาบๆ)

* พริกไทยป่น

หมายเหตุ : สามารถใส่ผักอื่นๆลงไปผัดร่วมด้วยเช่น แครอท, ถั่วฝัก, ข้าวโพดอ่อน เป็นต้น

ใบกะเพรา
ผัดกะเพราไก่+ไข่ดาว

วิธีทำทีละขั้นตอน

1. ตั้งน้ำมันในกระทะจนร้อน จากนั้นใส่กระเทียมและผัด 5-10 วินาที ใส่หอมใหญ่ และผัดต่อไปอีกสักพักจนกลิ่นเริ่มหอม ใส่เนื้อไก่ลงต่อและผัดจนเนื้อไก่สุกทั่ว

2. ใส่พริกและซิอิ๊วดำลงไปในกระทะ ผัดต่อไปอีก 15-20 วินาที

3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา และใส่ใบกะเพราลงไปในกระทะ ปิดไฟจากนั้นผัดให้กะเพราผสมกับเนื้อไก่่่จนทั่ว ตักใส่จาน ก่อนเสิรฟโรยหน้าด้วยพริกไทย เสิรฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ในบางครั้งไข่เจียวหรือไข่ดาวมักจะเสิรฟร่วมด้วย